ระบบการส่งจ่ายกำลังไฟฟ้า
2.1 บทนำ
ในการผลิต และ การส่งจ่ายกำลังไฟฟ้านั้นจะเริ่มต้นจากการผลิตกำลังไฟฟ้า ซึ่งสามารถผลิตกำลังไฟฟ้าได้ที่ระดับแรงดันไฟฟ้าประมาน 10-20 kV ด้วยปัญหาด้านฉนวนจึงไม่สามารถที่จะสร้างแรงดันให้สูงกว่านี้ได้จากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้สูงขึ้นที่สถานีแปลงแรงดัน จากนั้นกำลังไฟฟ้าย่อย ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย และเมื่อกำลังไฟฟ้าถูกส่งไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องทำการแปลงระดับดันลงที่หม้อแปลงจำหน่ายให้เป็นระดับแรงดันต่ำ เพื่อจ่ายไฟฟ้าให้กับบริภัณฑ์ ไฟฟ้า
2.2 ระบบไฟฟ้ากำลัง
ระบบไฟฟ้ากำลังหมายถึง ระบบไฟฟ้าที่ประกอบด้วยระบบการผลิต ระบบการส่ง ระบบจำหน่าย และระบบการใช้กำลังไฟฟ้าโดยที่สามารถแสดงได้ ดังรูป 2.1
รูปที่ 2.1 ระบบไฟฟ้ากำลัง
1. ระบบการผลิต (Generating System) หมายถึง ระบบที่มีหน้าที่เปลี่ยนพลังงานรูปอื่นๆ มาเป็นพลังงานไฟฟ้า เช่น เปลี่ยนจากพลังงานศักย์ของน้ำ หรือ พลังงานความร้อนที่ได้จากเผาไหม้เชื้อเพลิงมาเป็นพลังงานในการ ขับเคลื่อนเครื่่องกำเนิดไฟฟ้า
ระบบการผลิต ได้แก่ โรงจักรไฟฟ้า หรือเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ซึ่งจะผลิตกำลังไฟฟ้าออกมาที่แรงดันประมาณ
10-20 kV จากนั้นแรงดันก็จะถูกแปลงให้สูงขึ้นที่ลานไกไฟฟ้า( Switch Yard ) เพื่อที่จะเข้าสู่ระบบการส่งต่อไป
2. ระบบการส่ง ( Transmisson System ) หมายถึง ระบบการส่งไฟฟ้าจากระบบการผลิตไปยังระบบการจำหน่ายกำลังเพื่อจำหน่ายกำลังไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าต่อไปโดยจะทำการส่งกำลังไฟฟ้าในระดับแรงดันสูง
ระบบการส่ง ได้แก่ สถานีไฟฟ้าย่อยต้นทาง สายส่งไฟฟ้าแรงสูง และบริภัณฑ์ที่ใช้ในการส่งกำลังไฟฟ้าอื่นๆ
3. ระบบการจำหน่าย ( Distridutridution System ) หมายถึง ระบบไฟฟ้าที่รับกำลังไฟฟ้าจากระบบการส่งแล้ว ทำการลดระดับแรงดันลงจากแรงดันสูงให้เป็นแรงดันปานกลางที่สถานีจำหน่ายไฟฟ้าย่อย เพื่อที่จะส่งกำลังไฟฟ้าให้ระบบการใช้กำลังไฟฟ้าต่อไป
ระบบการจำหน่าย ได้แก่ สถานีไฟฟ้าย่อยต้นทาง สายจำหน่ายแรงดันปานกลาง หม้อแปลงจำหน่าย เเละสายจำหน่ายแรงดันต่ำ
4. ระบบการใช้กำลังไฟฟ้า( Utilizaton System ) หมายถึง ระบบไฟฟ้าที่รับกำลังไฟฟ้าจากระบบการจำหน่ายที่มีระดับแรงดันสูงเป็นแรงดันปานกลางแล้วทำการลดระดับแรงดันลงให้เป็นแรงดันต่ำเพื่อจ่ายกำลังไฟฟ้าให้กับบริภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ
2.3 การส่งจ่ายกำลังไฟฟ้าในประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยในขณะนี้ กรผลิตและการส่งจ่ายกำลังไฟฟ้านั้นดำเนินงานโดยหน่วยงานซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ
แห่ง ซึ่งแต่ละหน่วยงานก็มีหน้าที่รับผิดชอบแตกต่างกันไป ดังนี้คือ
. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย( กฟผ. )
Electricity Generating Authority of Thailand ( EGAT.)
. การไฟฟ้านครหลวง ( กฟน. )
Metropolitan Electricity Authority
. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ( กฟภ. )
Provincial Electricity Authority ( PEA. )
2.4 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมีเจ้าหน้าที่จัดหาแหล่งพลังงานและผลิตกำลังไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการ ของประเทศ รวมทั้งมีอำนาจในการจัดซื้อ หรือขายกำลังไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงแล้วจัดส่งต่อให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจะส่งกำลังไฟฟ้าไปยังสถานีไฟฟ้าย่อยซึ่งตั้งกระจายไปตามเมืองต่างๆ โดยจะมีศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าคอยควบคุมการผลิต และการส่งกำลังไฟฟ้า ให้สอดคอล้องกับลักษณะการใช้ไฟฟ้าแต่ละแห่ง อยู่ตลอดเวลา ซึ่งลักษณะการใช้ไฟฟ้าในแต่ละวันจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลา และฤดูกาล ดังนั้นการผลิตกำลังไฟฟ้า และการจัดส่งกำลังไฟฟ้า จึงต้องมีการติดต่อประสานงานกัน เพื่อให้การบริการเป็นไปอย่างต่อเนื่องมีประสิทธิภาพ และมีความเชื่อถือได้ เนื่องจากประเทศไทยมีการขายตัวในด้านการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต รัฐบาลจึงได้มีนโยบายสนับสนุนให้บริษัทเอกชน ตั้งไฟฟ้าเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า แล้วจ่ายให้ระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 2 ขนาดคือ
1. บริษัทผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ ( lndependent Power Producer หรือ IPP )
2. บริษัทผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (Small Power Producer หรือ SPP )
อย่างไรก็ตามทั้ง IPP และ SPP ยังต้องอยู่ภายในการควบคุมอย่างใกล้ชิดของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ในอนาคตการผูกขาดการบริการด้านพลังงานของวิสาหกิจทั้ง 3 แห่งในประเทศไทยคงจะต้องค่อยๆ หมดไปตามแนวโน้มทางสากลโลกซึ่งเรียกว่า Deregulation ถ้ามาสารถเป็นได้ดังที่กล่าวมาแล้วจะเป็นประประโยชน์อย่างมากกับอุตสาหกรรมการผลิตและขายพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย
2.4.1 โรงไฟฟ้า
ในปัจจุบันการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีโรงไฟฟ้าอยู่หลายแบบด้วยกัน แต่ละแบบก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้
1. โรงไฟฟ้าพลังน้ำ การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานน้ำ ได้แก่ การสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำขึ้น และอาศัยพลังงาน ของน้ำเหล่านี้ไปหมุนกังหันใบพัด และหมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าต่อไป โรงงานไฟฟ้าแบบนี้จะสามารถเดินจ่ายไฟฟ้าได้รวดเร็วภายในเวลา 5 นาที ไม่ต้องใช้เชื่อเพลิงในการผลิต ดังนั้นต้นทุนในการผลิตจึงต่ำมากและทำให้สภาพภูมิศาสตร์ บริเวณนั้นเปลี่ยนไป ในปัจจุบันการดำเนินสร้างเขื่อนแต่ละแห่งจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก แนวโน้มของโรงไฟฟ้าประเภทนี้จึงลดน้อยลงไป
2. โรงงานพลังไอน้ำ โรงไฟฟ้าแบบนี้ทีข้อดีคือสามารถสร้างให้มีกำลังผลิตสูงๆ ได้ แต่จะใช้เวลาติดเครื่องนานนับตั้งแต่เริ่มต้นจนจะกระทั่งจ่ายไฟฟ้าได้นั้นจะต้องเสียเวลานานประมาณ 6-8 ชั่วโมง เพราะจะต้องใช้เวลาจุดเตาอุ่นเครื่องต้มน้ำให้กลายเป็นไอน้ำจนมีอุณหภูมิ และความดันตามกำหนด เพื่อส่งไปหมุนเครื่องกังหันขับเคลื่อนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โรงไฟฟ้าประเภทนี้จะต้องเผาไหม้เชื้อเพลิง เพื่อให้ความร้อนในการต้มน้ำ เชื้อเพลิงในการผลิตจึง ขึ้นกับราคาเชื้อเพลิงเหล่านั้น ซึ่งการไฟฟ้าฝ่านผลิตจะใช้ทั้งเชื้อเพลิงที่มีอยู่ในประเทศ และสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ใช้เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ต้นทุน
3. โรงไฟฟ้ากังหันก๊าซและดีเซล โรงไฟฟ้าแบบนี้สามารถเดินจ่ายไฟฟ้าได้รวดเร็ว ภายในเวลา 15 นาที แต่ต้นทุนการผลิตสูงกว่าโรงไฟฟ้าแบบอื่น เนื่องจากค่าเชื่อเพลิง ดังนั้นจึงไม่นิยมเดินเครื่องเป็นเวลานานจะเดินเครื่องเฉพาะช่วงใช้ไฟมากเท่านั้น
4. โรงไฟฟ้าพลังความร้อน คือโรงไฟฟ้าที่ใช้เครื่องกังหันก๊าซ และเครื่องจักรพลังไอน้ำทำงานร่วมกัน โดยเครื่องจักรพลังไอน้ำจะใช้ความร้อนที่ได้จากไอเสียของก๊าซ ซึ่งปกติจะปล่อยทิ้งไปในอากาศมาช่วยต้มน้ำใไห้กลายเป็นไอ จึงทำให้ประสิทธิภาพไฟฟ้าสูงขึ้น ตัวอย่างโรงไฟฟ้าประเภทนี้ เช่น โรงไฟฟ้าบางปะกง
2.4.2 ระบบการส่ง
วิธีการส่งกำลังไฟฟ้าจากแหล่งกำเนิด หรือโรงจักรต่างๆ ไปยังบริเวณที่รับกำลังไฟฟ้าไกลๆ นั้นจำเป็นจะต้องมีระบบการส่งกำลังไฟฟ้า ที่เป็นการเชื่องโดยตรงระหว่าง แหล่งผลิตกำลังไฟฟ้าต่างๆ เข้าด้วยกันสำหรับการส่งนี้จำเป็นที่จะต้องมีระบบการส่งไฟฟ้า ที่เป็นการเชื่อมโดยตรงระหว่างแหล่งผลิตกำลังไฟฟ้าต่างๆ เข้าด้วยกัน สำหรับการส่งนี้จำเป็นที่จะต้องเพิ่ีมแรงดันจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้เป็นแรงดันสูงเสียก่อนดังที่ได้กล่าวแล้ว ระบบการส่งกำลังไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่มีอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะเป็นระบบสายอากาศ( Overhead Aerial Line ) เป็น
500 kV 3 เฟส 3 สาย 50 Hz
230 kV 3 เฟส 3 สาย 50 Hz
115 kV 3 เฟส 3 สาย 50 Hz
69 kV 3 เฟส 3 สาย 50 Hz
การส่งกำลัง ไฟฟ้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง จะเลือกส่งด้วยระดับแรงดันขนาดใด นั้นจะต้องพิจารณาองค์ประกอบหลายอย่างด้วยกัน ได้แก่ ระดับแรงดันที่มีอยู่เดิม การเชื่อมโยงระบบ เข้าด้วยกัน ระยะทางของการส่ง พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น
สำหรับระบบสายส่งแรงสูง 500 kV เป็นระบบแรงสูงพิเศษ( Extra High Voltage , EHV ) ซึ่งเป็นระบบไหม่ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตใช้ ทั้งนี้เนื่องจากในปัจจุบันได้มีการใช้ไฟฟ้า เพิ่มมากขึ้น การส่งกำลังไฟฟ้าด้วยระดับแรงดันสูงๆ จะสามารถส่งกำลังไฟฟ้าได้เป็นจำนวนมากขึ้น และลดการสูญเสียในสายส่งไฟฟ้า ทำให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น
2.5 การไฟฟ้านครหลวง
การไฟฟ้านครหลวง มีหน้าที่บริการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าในเขต 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และนนทบุรี ซึ่งจะรับผิดชอบในการดำเนินงานสายส่งไฟฟ้าแรงดันสูง สถานีเปลี่ยนแรงดัน สายจำหน่ายแรงดันปานกลาง หม้อแปลงจำหน่าย และสายจำหน่ายแรงดันต่ำ กระแสไฟฟ้าที่การไฟฟ้าที่การไฟฟ้านครหลวงจำหน่ายให้แก่ประชาชนในเขตรับผิดชอบทั้งหมดนั้น ทางการไฟฟ้านครหลวงจะรับซื้อมาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเนื่องจากในเขตรับผิดชอบทั้งหมดนั้นทางการไฟฟ้านครหลวงจะรับซื้อมาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เนื่องจากในเขตรับผิดชอบ ชองไฟฟ้านครหลวง มีการใช้ไฟฟ้านครหลวงมีการใช้ไฟฟ้าในปริมาณมาก ทางการไฟฟ้านครหลวงจึงจำเป็นต้องมีการส่งกำลังไฟฟ้าอย่างมีระบบ จึงได้จำแนกระบบการส่งกำลังไฟฟ้าออกเป็น 3 ระบบ ดังนี้คือ
2.5.1 ระบบการส่งกำลังไฟฟ้าย่อย ( Subtransmission System )
การไฟฟ้านครหลวง จะรับกำลังไฟฟ้ามาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย แล้วจะใช้การส่งไฟฟ้าในระบบการส่งแรงดันสูง 230 kV, 115 kV และ 69 kV
2.5.2 ระบบการจำหน่าย ( Distribution System )
การไฟฟ้านครหลวง มีสถานีไฟฟ้าย่อยอยู่หลายแห่ง เพื่อที่จะแปลงไฟฟ้าระดับแรงดัน 69 kV หรือ 115 kV ไปเป็นระดับแรงดัน 24 kV หรือ 12 kV โดยที่สถานี้ไฟฟ้าย่อยแต่ละแห่ง จะมีสายส่ง 69 kV หรือ 115 kV เข้า 2 วงจรเพื่อให้มีความเชื่อถือได้ และมีหม้อแปลงไฟฟ้า กำลัง( Power Transformer ) จำนวน 2-4 ชุด แต่ละชุดจ่ายไฟฟ้าให้กับสายป้อนจำนวนหลายสายป้อน แต่ละชุดของสายป้อนจะจ่ายโหลดได้ประมาณ 8 MVA ที่ 12 kV หรือ 15 MVA ที่ 24 kv การต่อวงจรสำหรับ สถานีไฟฟ้าย่อยที่มีหม้อแปลง 2 ชุด มีดังรูปที่ 2.2

รูปที่ 2.2 ระบบการจำหน่าย ของ กฟน.
การไฟฟ้านครหลวงมีโครงการที่จะเปลื่่ยนแรงดันระบบจำหน่ายจาก 12 kV เป็น 24 kV ทั้งหมด ดังนั้น ผู้ออกแบบระบบไฟฟ้าในเขตการรับผิดชอบของการไฟฟ้านครหลวงจึงเลือกใช้หม้อแปลง
2.5.3 ระบบการใช้กำลังไฟฟ้า( Utilization System)
การไฟฟ้านครหลวงจะติดตั้งหม้อแปลงที่บริเวณที่จะใช้ไฟฟ้า โดยหม้อแปลงจำหน่ายจะแปลงไฟฟ้าจาก ระดับแรงดัน 24 kV หรือ 12 kV ไปเป็นระดับแรงดัน 240/416 V 3 เฟส4สาย ดังรูปที่2.3 แม้ว่าทางด้านแรงดันต่ำของหม้อแปลงจะมีแรงดันพิกัดเป็น 240/416 V ก็ตาม แต่การไฟฟ้านครหลวงให้ใช้ แรงดันพิกัดระบุของด้านแรงดันต่ำเป็น 220/380 V 3เฟส4สาย

รูปที่ 2.3 ระบบใช้กำลังไฟฟ้าของ กฟน.
2.6 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีหน้าที่ในการจัดหา และจำหน่ายไฟฟ้าให้ทุกจังหวัดของประเทศไทย โดยไม่รวมกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และ สมุทรปราการ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของการไฟฟ้ามครหลวงดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
2.6.1 แหล่งพลังงานไฟฟ้า
เนื่องจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีหน้าที่รับผิดชอบในพื้นที่เกือบทั้งหมดของประเทศ จึงมีแหล่งผลิตไฟฟ้าอยู่
หลายแห่งหลายแบบด้วยกันตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ดังต่อไปนี้
1. ผลิตเอง โดยทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จะใช้เครื่องยนต์ดีเซลเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าซึ่งจะมีกำลังผลิตตั้งแต่ 25 kW ถึง 1250 kW ถ้าเป็นระบบจ่ายไฟฟ้าขนาดเล็กจะจ่ายไฟออกจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในระบบ 230/400 V โดยไม่ต้องผ่านหม้อแปลงเพิ่มแรงดันซึ่งได้แก่ โรงจักรไฟฟ้าแบบพัฒนา แต่ถ้าเป็นระบบจ่ายไฟฟ้า ขนาดปานกลางและขนาดใหญ่ คือมีขนาดตั้งแต่ 300 kW ถึง 1250 kW ใช้ติดตั้ง ในโรงจักรเพื่อจ่ายกำลังไฟฟ้าให้แก่บริเวณที่เป็นชุมชน อำเภอ หรือ เมืองใหญ่ๆ ที่ต้องการกำลังผลิตสูง เครื่องกำเนิดไฟฟ้าโดยใช้มีทั้งระบบจ่าย 400 V, 3500 V และ 11 kV โดยจะต้องจ่ายไฟฟ้าผ่านหม้อแปลงเพิ่มเเรงดันไฟฟ้า การผลิตกำลังไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทยแทนโรงจักรดีเซลเดิมทำให้เป็นการลดต้นทุนลง
2. ซื้อจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต กำลังไฟฟ้าส่วนใหญ่ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้มาจากการซื้อจากการซื้อจากการไฟฟ้าฝ่าผลิต โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเป็นผู้ตั้งสถานีแปลงแรงดัน และติดตั้งหม้อแปลงลดระดับแรงดันสูงจากระบบสายส่งแรงสูงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งเป็นระบบแรงดัน และติดตั้งหม้อแปลงลดระดับแรงดันสูงจากระบบสายส่งแรงสูงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตซึ่งเป็นระบบแรงดัน 230 kV, 115 kV และ 69 kV แปลงลงมาเป็นแรงดันตามระบบการจำหน่ายแรงสูงของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ก็จะมีอยู่ 2 ระบบดังนี้
3. ซื้อจากการไฟฟ้านครหลวง ในเขตจำหน่ายของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่อยู่ใกล้เขตจำหน่ายของการไฟฟ้านครหลวงทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคก็จะซื้อกำลังไฟฟ้าจากการไฟฟ้านครหลวงเชนที่ จังหวัดปทุมธานีเป็นต้น
4. ซื้อจากการแห่งชาติ การพลังงานแห่งชาติได้สร้างเขื่อน และโรงจักรพลังน้ำขนาด 1000 kW
เพื่อจ่ายไฟฟ้าให้กับจังหวัดแม่ฮ่องสอน และ จังหวัดใกล้เคียง
5. ซื้อจากผู้ผลิตพลังงานทดแทน รัฐบาลได้สนับสนุนให้มีการผลิตพลังงารไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเพื่อลดการพึ่งพลังงานไฟฟ้าจากน้ำมันจากน้ำมันและแก๊ซซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
พลังงานทดแทนที่ใช้การมาคือ
. พลังงานจากแส่งอาทิตย์
. พลังงานลม
. พลังงานจากชีวมล
การผลิตไฟฟ้า จากพลังงานทดแทน จะต้องลงทุนสูง ดังนั้นรัฐบาลจึงให้ทางการไฟฟ้ารับซื้อพลังงาน ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนสูงกว่าปกติ เพื่อให้สามารถคุ้มการลงทุนทางธุรกิจพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากพลังงานทดแทน จะต้องต่อระบบไฟฟ้าของทางการไฟฟ้า( Grid Connectad)
2.6.2 ระบบการส่งกำลังไฟฟ้าย่อย( Subtransmission System )
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จะรับกำลังไฟฟ้ามาจากการไฟฟ้ามาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแล้วจะใช้การส่งไฟฟ้าในระบบการส่งแรงดันสูง 230 kV , 115 kV และ 69 kV
2.6.3 ระบบการจำหน่ายแรงดันปานกลาง
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีระบบแรงดันจำหน่ายอยู่ 2 ระบบได้แก่
1. ระบบแรงดัน 22 kV Conventional Solidly Grounded System
จังหวัดส่วนใหญ่เกือบทั่วทั้งประเทศจะใช้ระบบนี้ ยกเว้นจังหวัด ทางภาคใต้ และบางจังหวัดในภาคเหนือระบบนี้เป็นแบบ 3 เฟส 3 สาย และ ระบบ1 เฟส 2 สาย ดังรูปที่ 2.4
2. ระบบแรงดัน 33 kV Multigrounded System With Overhead Ground Wiire
ใช้ในภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดระนองลงไป ระบบแรงดัน 33 kV นี้แตกต่างไปจากระบบ 22 kV Conventional Solidly Grouded System คือนากจากจะมีจุดต่อลงดิน Star Point ทางด้าน 33 kV ของหม้อแปลงที่สถานีไฟฟ้าย่อยแล้วในระบบแรงดัน 33 kV ยังมีสายอีก 1 สายด้วย และสาย Overhead Gronud Wire นี้ก็จะต่อลงดินเอาไว้เสาทุกๆ ต้นของระบบด้วยทั้งนี้สาย Overhead Wire นอกจากจะทำหน้าที่เป็นจุดต่อลงดินหลายจุดแล้ว ยังใช้เป็นเกราะป้องกันฟ้าผ่าลงสายเฟสอีกด้ัวย ดังนั้นในระบบ 3เฟส ของแรงดัน 33 kV จะประกอบไปด้วยสายเฟส 3 สาย และสาย Overhead Ground Wire อีก 1 สาย ส่วนในระบบ 1 เฟส ก็จะประกอบด้วยสายเฟส 1 สาย และสาย Ovehead Ground Wire 1 สาย ดังแสดงในรูปที่ 2.5

รูปที่ 2.5 ระบบ 33 kV Multigrouded System With Overhead Ground Wire
2.6.4 ระบบการจำหน่ายแรงดันต่ำ
ระบบการจำหน่ายแรงดันต่ำของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ก็จะเป็นเช่นเดียวกันกับของระบบการจำหน่ายแรงดัน ปานกลาง คือ เป็นแบบส่งเหนือศีรษะ(Overhead Aerial System) และจ่ายออกจากหม้อแปลงจำหน่าย( Distribution Transformer) ลูกใดลูกหนึ่งเป็นรัศมีวงรอบ สำหรับบางแห่งอาจมีการทำจุดต่อไลน์ระหว่างสายป้อนของหม้อแปลงระบบการจำหน่ายเครื่องเดียวกัน และบางแห่งอาจมีการทำจุดต่อไลน์ของสายป้อนสำหรับหม้อแปลงระบบการจำหน่ายใกล้เคียงกันด้วย เช่นเดียวกันกับระบบการจำหน่ายแรงดันปานกลาง สำหรับระบบการจำหน่ายแรงดันต่ำของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ก็จะมีอยู่ 2 ระบบดังนี้
1 ระบบการจำหน่ายแรงต่ำ 1 เฟส จะมีทั้งแบบระบบ 1 เฟส 2 สาย 230 kv และ แบบ 1 เฟส 3สาย 230/400 V ดังแสดงในรุปที่ 2.6 โดยแบบ3สายนี้จะเป็นระบบเก่า ที่จ่ายให้กับไฟถนน ไม่ได้จ่ายให้ตามบ้านเรือนที่อยู่อาศัย
2. ระบบการจำหน่ายแรงต่ำ 3 เฟส 4 สาย ระบบนี้มีแรงดันมาตรฐานคือ 230/400 V ดังแสดงในรูป ที่2.7

2.7 การจ่ายกำลังไฟฟ้าให้กับผู่ใช้ไฟฟ้า
ในการจ่ายกำลังไฟฟ้าให้กับผู่ใช้ไฟฟ้าเท่านั้น ทางการไฟฟ้า ก็จะจ่ายไฟฟ้าให้เป็นระบบแรงดันต่ำ( Low Voltage) สำหรับอาคารหรือสถานประกอบขนาดใหญ่ ที่่มีการใช้ไฟฟ้าในปริมาตรสูง คือ ใช้โหลดตั้งแต่ 300 kVA ขึ้นไปทั้งนั้น ทางการไฟฟ้าจะจ่ายกำลังไฟฟ้าให้ในระบบแรงดันสูง( High Voltage) ซึ่งอาจต้องมีการสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยขึ้น ทั้งนี้อยู่กับการพิจารณาของการไฟฟ้า
2.7.1 ขนาดมิเตอร์ของการไฟฟ้านครหลวงการไฟฟ้าหลวง
ในการติดตั้งมิเตอร์สำหรับอาคาร หรือ สถานประกอบต่างๆ นั้น จะต้องพิจารณาเลือกขนาดของมิเตอร์ตามความเหมาะสมกับโหลด โดยมิเตอร์ก็จะแบ่งออกเป็นหลายขนาด ดังต่อไปนี้
1. มิเตอร์ระบบ 220 V 1 เฟส 2 สาย จะมีขนาดดังนี้
. 5( 15A ) , 220 V
. 15( 45A) , 220 V
. 30( 100A) , 220 V
. 50( 150A), 220 V
2. มิเตอร์ระบบ 380/220 V 3 เฟส 4 สาย จะมีขนาดดังนี้
. 15 ( 45A), 380 V
. 30( 100A), 380 V
. 50( 150A), 380 V
. 200 A, 380 V
. 400 A, 380V
3. มิเตอร์ระบบ 12 kV 3 เฟส 3 สาย จะมีขนาดตั้งแต่ 15 A ( 300 kVA ) ไปจนถึง 750 A (15000 kVA)
4. มิเตอร์ระบบ 24 kV 3 เฟส 3 สาย จะมีขนาดตั้งแต่ 10 A( 400 kVA ) ไปจำถึง 625 A (25000 kVA)
2.7.2 ลักษณะการจ่ายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้า กับผู้ใช้ไฟฟ้า
1. แรงดันต่ำ ในกรณีที่กำารไฟฟ้าฯ จ่ายไฟฟ้า ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในระบบแรงดันต่ำนั้ัน จะสามารถแสดงได้ ดังรูปที่ 2.8 โดยจะมีมิเตอร์เป็นตัวแบ่งแยกทรัพย์สินระหว่างการไฟฟ้า กับผู้ใช้ไฟฟ้า

2. แรงดันปานกลาง ในกรณีที่การไฟฟ้าฯ จะขึ้นอยู่กับผู้ใช้ในระบบแรงดันปานกลางนั้นลักษณะการจ่ายไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าชองการไฟฟ้าฯจะขึ้นอยู่กับระบบของการไฟฟ้าในแต่ละพื้นที่ และระบบของสถานประกอบการลักษณะการจ่ายไฟฟ้าแรงดันปานกลางให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าของการไฟฟ้าฯ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กรณีดังนี้
. ผู้ใช้ไฟฟ้ารับไฟฟ้าด้วยสายอากาศ จากสายป้อนอากาศของการไฟฟ้าฯ
. ผู้ใช้ไฟฟ้ารับไฟฟ้าด้วยสายไฟฟ้าด้วยสายไฟฟ้าใต้ดิน จากสายป้อนอากาศของการไฟฟ้าฯ
. ผู้ใช้ไฟฟ้ารับไฟฟ้าด้วยสายไฟฟ้าใต้ดิน จากสายป้อนใต้ดินของการไฟฟ้าฯ
กรณีที่ผู้ใช้ไฟฟ้าด้วยสายอากาศ จากสายป้อนอากาศของไฟฟ้า ทางการไฟฟ้าทางการไฟฟ้าจะจ่ายไฟฟ้าให้
เพียง 1 สายป้อนเท่านั้ัน ยกเว้นสถานประกอบที่มีความสำคัญสูง เช่น รัฐสภา โรงพยาบาล กระประปา ทางการไฟฟ้า จะจ่ายให้ 2 สายปั้อน ลักษณะการจ่ายไฟฟ้าแบบนี้ สามารถได้ดังรูปที่ 2.9

สำหรับการจ่ายไฟฟ้ารับไฟฟ้าด้วยสายไฟฟ้าใต้ดินจากสายป้อนอากาศของการไฟฟ้าฯ การจ่ายไฟฟ้าลักษณะนี้ ระบบของการไฟฟ้าฯ จะเป็นแบบเหนือดิน ส่วนระบบของสถานประกอบการจะใช้สายเคเบิลใต้ดินเพื่อไปยังสถานีไฟฟ้าย่อยที่ติดตั้งภายในอาคาร หรือ ไปยังหม้อแปลง ซึ่งติดตั้งอยู่อีกที่หนึ่ง ลักษณะการจ่ายไฟฟ้า แบบนี้สามารถแสดงได้ดังรูปที่ 2.10

สำหรับกรณีที่ผู้ใช้ไฟฟ้ารับไฟฟ้าด้วยสายไฟฟ้าใต้ดินจากสายป้อนใต้ดินของการไฟฟ้าฯ การจ่ายไฟฟ้าในลักษณะนี้จะใช้เมื่อได้รับไฟฟ้ามาจากสายป้อนใต้ดินของการไฟฟ้า ได้แก่ บริเวณถนนสีลม โครงการภูมิทัศน์และโครงการสายไฟฟ้าใต้ดินถนนรัชดา เป็นต้น ลักษณะการจ่ายำไฟฟ้าแบบนี้ สามารถแสดงรูป 2.11

2.8 การจัดวงจรการจ่ายไฟฟ้า( Distribution Circuit Arrangements)
ในการคออกแบบระบบจ่ายกำลังไฟฟ้าสำหรับอาคาร หรือสถานประกอบการต่างๆ นั้น ผู้ออกแบบจะต้องคำนึงถึง องค์ประกอบต่างๆ หลายประการด้วยกัน ได้แก่ความปลอดภัย ความเชื่อถือ การบำรุงรักษา ความยืดหยุ่น และความประหยัด เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว ลักษณะของบริหารทางไฟฟ้า ซึ่งอยู่บริเวณสถานที่นั้น ลักษณะของโหลดคุณภาพ ของการบริการที่สถานที่ต้องการ และขนาดของอาคาร ก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ที่ผู้ออกแบบจะต้องพิจารณาด้วยว่า จะเลือกหรือออกแบบระบบการจ่ายไฟฟ้าแบบใด จึงจะเหมาะสมที่สุด
การให้บริการทางไฟฟ้าแก่อาคาร หรือสถานประกอบต่างๆ นั้นถ้าอาคารมีขนาดเล็กเพียงพอที่จะจ่ายไฟฟ้าโดยหม้อแปลงตัวเดียวได้ก็จะต้องมีการจัดสถานที่สำหรับติดตั้งหม้อแปลงเพียงตัวเดียวก็จะต้องติดตั้งหม้อแปลงหลายตัวเพื่อให้สามารถทีที่มีขนาดใหญ่จนไม่สามารถที่จะจ่ายไฟฟ้าได้ด้วยหม้อแปลงเพียงตัวเดียวก็จะต้องติดตั้งหม้อแปลงหลายตัวเพื่อให้สามารถจ่ายไฟฟ้าให้แก่อาคารได้อย่างเพียงพอ
ระบบไฟฟ้าพื้นฐานที่ใช้ในการจ่ายไฟให้ผู้ใช้ สามารถจัดเป็น 5 แบบ คือ
1. Radial System
2. Primary-Selective System
3. Secondary-Selective System
4. Secondary Spot Network System
5. Looped Pirmary System
2.8.1 Radial System
ในกรณีืี่ไฟฟ้า ถูกส่งมายังอาคารในระบบแรงดันใช้งาน รูปแบบการจ่ายไฟฟ้าแบบนี้ก็จะเป็นแบบที่ง่ายและมีราคาถูกที่สุดโดยไฟฟ้าจะถูกส่งเข้ามาในระบบแรงดันต่ำ ผ่านบริภัณฑ์ป้องกันต่างๆ จากนั้นจึงจ่ายต่อไปยังโหลดหรือตู้จ่ายไฟต่อไป ส่วนในกรณีที่ไฟฟ้าถูกส่งมาในระบบแรงดันปานกลางก็ต้องมีหม้อแปลงเพื่อแปลงไฟฟ้าให้ได้ระดับแรงดันปานกลางเป็นระดับแรงดันใช้งานเสียก่อน โดยจะต้องมีบริภัณฑ์ ได้แก่ เซอร์กิตเบรกเกอร์ หรือฟิวส์ ทั้งด้านแรงดันปานกลาง และด้านแรงดันต่ำ ดังแสดงในรูป 2.12

การจ่ายไฟฟ้าแบบนี้ ถ้ามีการเกิดการผิดพร่อง( Fault ) ขึ้นที่แหล่งจ่ายไฟหม้อแปลงหรือบัสประธาน ( Main Bus ) ก็จะทำให้โหลดทั้งหมดไม่ได้รับไฟฟ้า ส่วนถ้ามี่การเกิดการผิดพร่อง( Fault )ขึ้นที่สายป้อนใดสายป้อนหนึ่งบริภัณฑ์ป้องกันก็จะทำงานโดยตัดส่วนนั้นออกไปทำให้โหลดอื่นๆยังคงได้รับไฟฟ้าต่อไป ในกรณีที่มีอาคารมีขนาดใหญ่มากขึ้น และมีผู้คนอยู่มากขึ้น ก็มักจะนิยมสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยทุติยภูมิ ( Secondary Substation ) ขนาดเล็กหลายสถานีไฟฟ้าย่อยแทนที่จะสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยทุติยภูมิ( Secondary Substation ) ขนาดใหญ่สถานีเดียวทั้งนี้จะเป็นการเพิ่มความเชื่อถือได้ สถานีไฟฟ้าย่อยขนาดเล็กจะสะดวกต่อการติดตั้ง เฉพาะจุดมากกว่า โดยที่สถานีไฟฟ้าย่อยขนาดเล็กนี่้ จะติดตั้งอยู่ใกล้ๆ กับศูนย์กลางการใช้ไฟฟ้าดังแสดงรูปที่ 2.13

จากรูปที่ 2.13 (ก) ถ้ามีการเกิดการผิดพร่อง(Fault) ขึ้นที่สายป้อนปฐมภูมิ( Primary Feeder )ของหม้อแปลงบริภัณฑ์ป้องกันหลักก็จะทำงานโดยตัดไฟฟ้าออกทำให้ไม่มีไฟฟ้าจ่ายไปยังโหลดทั้งหมดแต่ถ้ามีการเกิดการผิดพร่อง(Fault) ขึ้นที่หม้อแปลงตัวใดตัวหนึ่งโหลดที่ต่อจากหม้อแปลงตัวนั้นก็จะไม่มีไฟฟ้า แต่ว่าโหลดอื่นๆ ก็ยังคงได้รับไฟฟ้าตามปกติ เนื่องจากการเกิดการผิดพร่อง(Fault) มักจะเกิดขึ้นที่สายป้อนปฐมภูมิ( Primary Feeder)มากกว่าจะเกิดขึ้นที่หม้อแปลง ดังนั้นจึงมีการป้องกันที่แต่ละสายป้อนปฐมภูมิ(Primary Feeder)ดังแสดงในรูปที่ 2.13(ข) ซึ่งการจัดแบบนี้ถ้าหากมีการเกิดการผิดพร่อง(Fanlt)ขึ้นที่สายป้อนปฐมภูมิ(Primary Feeder)ใด้ก็ตามบริภัณฑ์ป้องกันของสายป้อนปฐมภูมิ( Primary Feeder) นั้นก็จะตัดวงนั้นออกไปส่วนสายป้อนปฐมภูมิ( Primary Feeder ) อื่้นๆก็ยังคงทำงานได้ปกติ จึงเป็นข้อดีที่เหนือกว่าแต่ว่าราคาค่าใช้จ่ายก็จะสูงกว่าตามไปด้วย
2.8.2 Primary-Selective System
การจ่ายไฟฟ้าแบบนี้จะเพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบให้มากขึ้น โดยจะลดปัญหาที่เกิดการผลิตพร่อง( Fault ) ที่สายป้อนปฐมภูมิ( Primary Feeder) ลง ลักษณะการจัดวงจรก็คือจะเพิ่มสายป้อนปฐมภูมิ( Primary Feeder ) และสวิตซ์สำหรับตัดโหลด( Load Break Switch ) ขึ้นอีกชุดหนึ่งสำหรับหม้อแปลงแต่ละตัวดังรูป 2.14

ในสภาวะการทำงานปกติ สวิตซ์จะถูกปิดอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยให้สาบป้อนปฐมภูมิ ( Primary Feedey ) แต่ละชุดจ่ายโหลดเท่าๆกันถ้ามีการเกิดการผิดพร่อง( Fault )ที่สายป้อนปฐมภูมิ ( Primary Feeder ) อีกชุดหนึ่งเข้ามาจ่ายไฟฟ้าแทนทันที ดังนั้นสายป้อนปฐมภูมิ( Primary Feeder) แต่ละชุดจะต้องสามารถจ่ายไฟฟ้าให้แก่โหลดทั้งหมดได้นอกจากนี้คู่ของฟิวส์หรือเซอร์กิตเบรกเกอร์ จะต้องทำการยึดระหว่างกันด้วย เพื่อป้องกันการปิดวงจรพร้อมกันและกรตัดต่อวงจรอาจะเป็น แบบใช้มือ หรือเป็นระบบอัตโนมัติก็ได้
เมื่อพิจารณาในเรื่องของราคาแล้ว พบว่า การจัดวงจรแบบนี้ จะมีราคาแพงกว่าการจัดวงจรในรูปที่2.13(ก) ประมาณ 10%-20% เพราะว่าระบบนี้จะต้องสิ้นเปลืองค่าใชจ่ายเกี่ยวกับวงจรด้านปฐมภูมิและ บริภัณฑ์สวิตซ์เพิ่มเติม
2.8.3 Secondary-Selective System
การจ่ายไฟฟ้าแบบนี้ แสดงได้ดังรูปที่ 2.15 ในสภาวะการทำงานปกติ ก็จะเหมือนกับระบบ Radial 2 ชุดแยกจากกัน และเซอร์กิตเบรกเกอร์ต่อเชื่อมบัสทุติยภูมิ(Secondary Bus ) จะเปิดอยู่โหลดจะถูกแบ่งให้ประมานเท่าๆกัน ในแต่ละบัสถ้ามีการเกิดผิดพร่อง ( Fault ) ขึ้นที่สายป้อนปฐมภูมิ( Primary Feeder ) หรือหม้อแปลงชุดใดชุดหนึ่ง โหลดทั้งหมดที่ต่อยู่กับบัสนั้นก็จะไม่มีไฟฟ้าอยู่ จึงสามารถใช้ไฟฟ้า จากอีบัสหนึ่งได้ โดยเริ่มจากเปิดเซอร์กิตเบรกเกอร์หลักทางด้านทุติยภูมิของหม้อแปลงของด้านที่มีการเกิดการผิดพร่อง( Fault ) จากนั้นก็ปิดเซอร์กิตเกอร์ต่อเชื่อมบัสทุติยภูมิ( Secondary Bus ) ด้วยเพื่อเป็นการป้องกันหม้อแปลงทั้ง 2 ตัว ไม่ให้ทำงานแบบขนานกัน

จะเห็นว่าการจ่ายไฟฟ้าแบบนี้ จะสามารถเพิ่มความเชื่อถือได้ให้สูงขึ้นกว่าแบบ Pimary Selective ในกรณีเกิดการผิดพร่อง ( Fault ) ที่หม้อแปลง แต่ราคาของการจัดวงจรแบบนี้ก็จะสูงขึ้นด้วย เนื่องจากจะต้องเผื่อขนาดของ หม้อแปลง และสายป้อนปฐมภูมิ( Primary Feedar ) ให้สามารถจ่ายโหลดทั้ง 2 บัสได้ทั้งนี้ราคาก็จะขึ้นอยู่กับดามเผื่อ ขนาดไว้เพียงใด
ดั้งนั้นหม้อแปลงแต่ละวันที่ใช้ต้องสามารถจ่ายกำลังไฟฟ้าได้อย่างเพียงพอให้กับโหลดของหม้อแปลงอีกตัว หนึ่งได้ด้วยซึ่งวิธีที่ทำให้หม้อแปลงแต่ละตัวสามารถจ่ายโหลดได้เพื่มมากขึ้นมีอยู่ 4 วิธีด้วยกันคือ
1. เผื่อขนาดของหม้อแปลงแต่ละตัวให้สามารถจ่ายโหลดทั้งหมดได้เมื่อหม้อแปลงตัวใดตัวหนึ่งชำรุดเสียหายหรือเกิดความผิดพร่องที่หม้อแปลง
2. จัดให้มีการระบายความร้อนให้กับหม้อแปลงโดยวิธี Air Forced Cooling ซึ่งอาจจะทำให้หม้อแปลงสามารถจ่ายโหลดเพิ่มขึ้นจากค่าพิกัดได้ประมาณ 30%-40%
3. ตัดโหลดบางส่วนที่ไม่สำคัญออกในช่วงที่มีการใช้หม้อแปลงเพียงตัวเดียว ในการจ่ายโหลดทั้งหมดแทนหม้อแปลงตัวที่เสียหาย
4. ยอมให้หม้อแปลงทำงานเกินค่าพิกัด(Oveload)ในช่วงที่มีการซ่้อมบำรุงหม้อแปลงตัวที่เสียหายแต่ทั้งนี้ต้องยอมรับได้ว่าอายุการใช้งานของหม้อแปลงจะสั้นลง
ในรูปที่ 2.16 เป็นการดัดแปลวงจรการจ่ายไฟฟ้าแบบ Secondary-Selective เพื่อใช้ในกรณีที่สถานีไฟฟ้า ย่อยทุติยภูมิ( Secondary Substation) ทั้งสองอยู่ห่างกัน การจัดวงจรแบบนี้จะมีหม้อแปลงเพียงตัวเดียวในแต่ละสถานีไฟฟ้าย่อยทุติยภูมิ(Secondary Subsation )โดยจะมีการเชื่อโยงระหว่างสถานีไฟฟ้าย่อยทุติภูมิ( Seconday Substaion) ด้วยวงจรต่อเชื่อมแรงดันต่ำแบบปกติเปิด

2.8.4 Secondary Spot Network System
รูปที่ 2.17 จะแสดงถึงการจัดวงจรแบบ Secondary Spot Network แบบง่ายๆ โดยจะประกอบไปด้วยหม้อแปลงที่เหมือนกัน2ลูกหรือมากกว่า ซึ่งจะรับไฟฟ้ามาจากสายป้อนปฐมภูมิ (Primary Feeder )แยกกันลูกละชุดหม้อแปลงเชื่อมต่อกันทางบัสด้านแรงต่ำผ่านตัวป้อนกันวงจรข่าย( Network Protector )โดยที่หม้อแปลงทั้งหมดทำงานแบบขนานกันตัวป้องกันวงจรข่าย ( Network Protector ) ซึ่งเป็นเซอร์กิตเบรกเกอร์ถูกควบคุมโดยรีเลย์ เซอร์กิตเบรกเกอร์ จะเปิดวงจรโดยอัตโนมัติเมื่อมีกำลังไฟฟ้าไหลจากด้านแรงดันต่ำเข้าสู่หม้อแปลง
ในสภาวะการทำงานปกติหม้อแปลงแต่ละตัวจะรับโหลดเท่าๆกันเมื่อมีการเกิดการผิดพร่อง(Fault)ขึ้นที่หม้อแปลง หรือที่สายป้อนปฐมภูมิ(Primary Feedey ) ชุดใดชุดหนึ่ง ตัวป้องกันวงจรข่าย (Network Protecrtor) ของหม้อแปลงชุดนั้นจะเปิดวงจร เพื่อป้องกันไม่ให้มีกระแสไฟฟ้าย้อนกลับจากทางด้านแรงต่ำเข้าสู่หม้อแปลงและหม้อแปลงตัวที่เหลือก็จะทำหน้าที่จ่ายไฟฟ้าให้แก่โหลดแทนทำให้สามารถจ่ายไฟฟ้าให้โหลดได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอนการจัดการวงจรแบบ Secondary Spot Network จะเป็นการจัดวงจรที่มีความเชื่อถือได้มากสุด สำหรับการจ่ายโหลดมากๆโอกาสที่จะเกิดไฟฟ้าดับจะเกิดขึ้นได้เฉพาะเมื่อมีการเกิดการผิดพร่อง( Fault ) พร้อมๆ กันทางด้านปบมภูมิหรือเกิดการผิดพร่อง( Fault ) ที่บัสด้านทุติยภูมิ( Secondary Bus ) เท่านั้น อย่างไรก็ตามระบบนี้เป็นระบบที่มีราคาแพงซึ่งนอกจากจะต้องเผื่อขนาดของหม้อแปลงและสายป้อนปฐมภูมิ ( Primary Feeder ) แล้วโดยทั่วไปตัวป้องกันวงจรข่าย( Network Protector ) ทีราคาแพงอีกด้วย
2.8.5 Looped Primay System
การจัดวงจรแบบ Looped Primay System มีสองรูปแบบโดยรูปที่ 2.18 แม้ว่าระบบไหม่ระบบวงรอบปิด( Close Loop ) ซึ่งเป็นระบบเก่า ส่วนรูปที่ 2.19 เป็นระบบไหม่ที่นิยมใช้มากกว่าระบบวงจรปิดจะทำงานโดยปิดสวิตซ์ทั้งหมดของวงจรดังรูปที่ 2.18 แม้ส่าระบบนี้จะมีราคาไม่แพงแต่ก็ไม่เป็นที่นิยมใช้ โดยจะนิยมใช้แบบวงจรเปิดมากกว่า เนื่องจากเมื่อเกิดการผิดพร่อง( Fault ) ที่ส่วนหนึ่งส่วนใดในวงรอบจะทำให้การจ่ายไฟหยุดชะงักลง และจะหาจุดที่เกิดกรผิดพร่อง( Fault )ได้ยาก
ส่วนระบบวงจรเปิด ซึ่งถูกออกแบบเพื่อใช้กับสายส่งใต้ดินจะใช้ Ring Main Unit ( RMU ) เป็นตัวต่อระบบจากโหลดเมื่อเกิดการผิดพร่อง โดยจะทำการเปิดวงจรเมื่อเกิดการผิดพร่อง และจะปิดวงจรเมื่อได้ทำการแก้ไขระบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวงจรใดวงจรหนึ่งเกิดการผิดพร่องขึ้น อีกวงจรก็จะทำหน้าที่จ่ายโหลดให้เมื่อซ่อมแซมแก้ไขส่วนที่เกิดการผิดพร่องเรียบร้อยแล้ววงจรก็จะทำงานแบบอิสระโดยแต่ละวงจรต่างก็จ่ายโหลดของตัวเองต่อไป ข้อเสียข้อระบบนี้ คือราคาของอุปกรณ์จะมีราคาสูง เพราะว่าต้องใช้สายไฟฟ้าขนาดใหญ่ และต้องมีอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ มากมาย
2.9 ระบบการจ่ายไฟฟ้าสายป้อนดิน
ปัจจุบันในเมืองใหญ่ได้มีการนำสายป้อน ทั้งระดับแรงสูง ระบบปานกลาง และระบบปานกลาง และระบบแรงต่ำ ละใต้ดินเพื่อความปลอดภัยละสวยงาม
2.9.1 ระบบการจ่ายไฟฟ้าสายป้อนใต้ดิ อาจทำได้ดังนี้
. Radial
. Primay Selective
. Open Loop
. Special Spare Line
ระบบ Radial

. จ่ายไฟฟ้าด้วยสายป้อนจุดเดียว ไม่มีสำรอง
. อุปกรณ์ไฟใช้ Switchgear 1 Bay
. จ่ายไฟฟ้าหม้อแปลง Network ในเขตวงจรตาข่ายเท่านั้น
ระบบ Primary Selective

. จ่ายไฟ 1 สายป้อน สำรอง1 สายป้อน
. สายป้อนทั้ง 2 มาจาก
ต่างสถานีย่อย
ต่างBay ของสถานีย่อย
. อุปกรณ์รับไฟใช้ RMU 3 หรือ ATS
ระบบ Loop

. การจ่ายไฟด้วย 1 สายป้อน และ สำรองด้วยอีกสายป้อน ต่ออนุกรมกัน
. สายป้อนทั้ง2มาจาก
ต่างสถานีย่อย
ต่าง Bay ของสถานีย่อย
. อุปกรณ์รับไฟใช้ RMU 3 Bay หรือ 4 Bay
ระบบ Special Spare Line

. จ่ายไฟด้วย 1 สายป้อนและสำรองอีกสายป้อน
. รูปผสมระหว่าง Primary Selective กับ Loop
. สายป้อนทั้ง 2 มาจาก
ต่างสถานีย่อย
ต่าง Bay ในสถานีย่อยเดียวกัน
. อุปกรณ์รับไฟฟ้าใช้ RMU 3 หรือ ATS
2.9.2 โหลดของจ่ายไฟฟ้าแบบ Loop
สำหรับสายป้อนแรงดันปานกลางอาจแบ่งได้เป็น
กรณี 1 Loop
โหลดต้องไม่เกิน 400 kVA
กรณี 2 Loop
โหลด 4001-8000kVA
กรณี 3 Loop
โหลด 8001-15000 kVA
คำถามท้ายบท
1. ระบบไฟฟ้ากำลังแบ่งออกเป็นระบบย่อยๆ อะไรบ้าง จงอธิบาย
2. ระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าผลิตแห่งประเทศไทย( EGAT ) เป็นอย่างไร จงอธิบาย
3. ระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง( MEA )เป็นอย่างไร จงอธิบาย
4. ระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง( MEA ) ครอบคุมจังหวัดใด
5. ระบบแรงดันปานกลาง MV ของการไฟฟ้านครหลวง เป็นอย่างไร
6. ระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค( PEA ) เป็นอย่างไร จงอธิบาย
7. ระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค( PEA ) ครอบคุมกี่จังหวัด
8. ระบบแรงดันปานกลาง MV ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นอย่างไร
9. ขนาดมิเตอร์แรงดันต่ำของ กฟน. เป็นอย่างไร จงอธิบาย
10. การจ่ายไฟฟ้าแรงดันปานกลางให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าทำได้อย่างไรจงอธิบาย
11. จงอธิบายการจ่ายไฟฟ้าแบบ
. Radial System
. Looped Primary
12. จงเขียนวงจรไฟฟ้าแสดงการจ่ายไฟฟ้า แบบ Secondary Selective System และอธิบายการท่ำงานของระบบ
13. ใน Secondary Selective System มีวิธีอย่างไรในการให้หม้อแปลงจ่ายไฟให้ระบบ เมื่อหม้อแปลงตัวหนึ่งขัดข้อง